🔥 Gate 廣場活動|#发帖赢Launchpad新币KDK 🔥
KDK|Gate Launchpad 最新一期明星代幣
以前想參與? 先質押 USDT
這次不一樣 👉 發帖就有機會直接拿 KDK!
🎁 Gate 廣場專屬福利:總獎勵 2,000 KDK 等你瓜分
🚀 Launchpad 明星項目,走勢潛力,值得期待 👀
📅 活動時間
2025/12/19 12:00 – 12/30 24:00(UTC+8)
📌 怎麼參與?
在 Gate 廣場發帖(文字、圖文、分析、觀點都行)
內容和 KDK 上線價格預測/KDK 項目看法/Gate Launchpad 機制理解相關
帖子加上任一話題:#发帖赢Launchpad新币KDK 或 #PostToWinLaunchpadKDK
🏆 獎勵設定(共 2,000 KDK)
🥇 第 1 名:400 KDK
🥈 前 5 名:200 KDK / 人(共 1,000 KDK)
🥉 前 15 名:40 KDK / 人(共 600 KDK)
📄 注意事項
內容需原創,拒絕抄襲、洗稿、灌水
獲獎者需完成 Gate 廣場身份認證
獎勵發放時間以官方公告為準
Gate 保留本次活動的最終解釋權
## ค่าเสื่อมราคา (Depreciation) อธิบายแบบง่าย ๆ ที่ใช้ได้จริง
ถ้าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจหรือนักลงทุน คำว่า **ค่าเสื่อมราคา** คงจะเคยเห็นบ่อย ๆ แต่อาจยังไม่เข้าใจว่ามันไปยังไงกันแน่ และทำไมต้องคิดค่านี้ขึ้นมา
ในสั้น ๆ ค่าเสื่อมราคา (Depreciation) คือกระบวนการบัญชีที่ใช้ในการลดมูลค่าของสินทรัพย์ที่จับต้องได้ (เช่น อาคาร เครื่องจักร รถยนต์) ลงไปทีละนิดเรื่อย ๆ ตามเวลาที่ใช้งาน เพราะว่าสินทรัพย์เหล่านี้ใช้แล้วก็เสื่อมสภาพ หรือเกาะวิวัฒน์ไป เช่นเดียวกับรถยนต์เก่าที่ราคาลดลงเรื่อย ๆ
### ทำไมต้องบัญชีค่าเสื่อมราคา
สำหรับบริษัท ค่าเสื่อมราคาไม่ใช่แค่ตัวเลขในสมุดบันทึก มันมีผลกระทบต่อการคำนวณกำไร (EBIT, EBITDA) และยังส่งผลต่อการยื่นภาษีอีกด้วย
เมื่อคุณซื้อเครื่องจักรราคา 100,000 บาท และคาดว่าใช้ได้ 5 ปี การคิดค่าเสื่อมราคาจะช่วยให้คุณกระจายต้นทุนนี้ออกมา แทนที่จะบันทึกเป็นขาดทุน 100,000 บาทในปีแรก คุณจะคิดเป็น 20,000 บาทต่อปี ซึ่งทำให้ภาพรวมการเงินดูสมเหตุสมผลมากขึ้น
### ความสำคัญของ EBIT และ EBITDA ในบริษัท
**EBIT** (Earnings Before Interest and Taxes) คือกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี – ค่าเสื่อมราคาก็รวมอยู่ในการคำนวณแล้ว
**EBITDA** (Earnings Before Interest, Taxes, Depreciation, and Amortization) คือกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย – ค่าเสื่อมราคาจะถูกเพิ่มกลับเข้าไป
ความแตกต่างนี้สำคัญเวลาเทียบบริษัทที่มีสินทรัพย์เยอะกับบริษัทที่มีสินทรัพย์น้อย
## ประเภทของสินทรัพย์ และสินทรัพย์ไหนลดราคาได้
### สินทรัพย์ที่คิดค่าเสื่อมราคาได้
ถ้าสินทรัพย์มีลักษณะดังนี้ คุณก็สามารถคิดค่าเสื่อมราคาได้:
- **เป็นของคุณครอบครอง** – ไม่ใช่เช่าหรือยืม
- **นำมาใช้ในธุรกิจ** – เพื่อสร้างรายได้
- **มีอายุการใช้งานชัดเจน** – เช่น 5 ปี 10 ปี (ไม่ใช่ทั้งชีวิต)
- **คงอยู่นานกว่า 1 ปี**
ตัวอย่างธรรมชาติ: ยานพาหนะ อาคารสำนักงาน โต๊ะเก้าอี้ คอมพิวเตอร์ เครื่องจักร สิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ ซอฟต์แวร์
### สินทรัพย์ที่คิดค่าเสื่อมราคาไม่ได้
ไม่ใช่ทุกสิ่งที่เป็นสินทรัพย์สามารถคิดค่าเสื่อมราคาได้:
- **ที่ดิน** – ที่ดินไม่เสื่อมสภาพ ยิ่งเก่ายิ่งแพง
- **ของสะสม** – ศิลปะ เหรียญ พระเครื่อง
- **หุ้นและพันธบัตร** – การลงทุนด้านการเงิน
- **ทรัพย์สินส่วนตัว** – ไม่ใช่สินทรัพย์ธุรกิจ
- **สินทรัพย์ใช้ไม่ถึง 1 ปี**
## วิธีคิดค่าเสื่อมราคา มีกี่วิธี
บริษัทมีตัวเลือกมากมายในการคำนวณค่าเสื่อมราคา แต่ที่ใช้บ่อย ๆ มี 4 วิธี
### 1. วิธีเส้นตรง (Straight-line Method)
**ง่ายและใช้กันมากที่สุด**
คิดตรง ๆ เลย: ราคาสินทรัพย์ ÷ จำนวนปี = ค่าเสื่อมราคาต่อปี
**ตัวอย่าง:** ซื้อรถยนต์ 100,000 บาท อายุใช้งาน 5 ปี
ค่าเสื่อมราคา = 100,000 ÷ 5 = **20,000 บาทต่อปี**
**ข้อดี:** ง่ายมาก ถูกต้อง เหมาะสำหรับธุรกิจเล็ก
**ข้อเสีย:** ไม่คำนึงว่าเครื่องจักรสูญเสียมูลค่าเร็วกว่าในปีแรก หรือค่าซ่อมแซมเพิ่มขึ้นเมื่อเก่า
### 2. วิธีลดลงแบบสองเท่า (Double-Declining Balance)
**ใช้กับสินทรัพย์ที่สูญเสียมูลค่าเร็ว**
วิธีนี้คิดค่าเสื่อมราคาสูงในปีแรก แล้วค่อยลดลงไปเรื่อย ๆ – แบบเหมือนรถยนต์โปรแกรมใหม่ที่ราคาตกครั้งใหญ่อันดับแรก
**ตัวอย่าง:** กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เลิกสมัยเร็ว
ปีแรก: คิดค่าเสื่อมราคาสูง ประมาณ 40% ของมูลค่า
ปีที่ 2-5: ค่อยลดลงทีละนิด
**ข้อดี:** สะท้อนความเป็นจริงได้ดี ช่วยลดหย่อนภาษีในปีแรก
**ข้อเสีย:** ซับซ้อนกว่า ไม่เหมาะกับธุรกิจที่บัญชีเรียบง่าย
### 3. วิธีลดค่าเสื่อมราคา (Declining Balance)
**การเร่งการคิดค่าเสื่อมราคา**
เหมือนวิธีสองเท่า แต่ไม่ถึงเร็วขนาดนั้น – คิดค่าเสื่อมราคาเป็นสองเท่าของอัตราเส้นตรง
ปีแรก: ค่าเสื่อมราคาสูง
ปีหลัง ๆ: ค่าเสื่อมราคาลดลง
**ข้อดี:** สมดุลระหว่างง่ายและถูกต้องตามเหตุผล
**ข้อเสีย:** ยังคงซับซ้อนกว่าเส้นตรง
### 4. วิธีหน่วยการผลิต (Units of Production)
**ขึ้นอยู่กับการใช้งานจริง ไม่ใช่เวลา**
แทนที่จะคิดตามปี คิดตามจำนวนครั้งที่ใช้สินทรัพย์ – เช่น จำนวนชั่วโมงการทำงาน หรือจำนวนหน่วยที่ผลิตได้
**ตัวอย่าง:** เครื่องจักรที่คาดว่าทำได้ 1,000,000 หน่วยในชีวิต
แล้วปีนี้ผลิตได้ 100,000 หน่วย = คิดค่าเสื่อมราคา 10% ของมูลค่า
**ข้อดี:** ถูกต้องสำหรับเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้แบบไม่สม่ำเสมอ
**ข้อเสีย:** ยากต่อการติดตามในชีวิตจริง ต้องบันทึกการใช้งานอย่างละเอียด
## ค่าตัดจำหน่าย (Amortization) คืออะไร
**ค่าตัดจำหน่าย** นั้นคล้ายกับค่าเสื่อมราคา แต่ใช้กับ **สินทรัพย์ที่ไม่สามารถจับต้องได้** เช่น:
- **ลิขสิทธิ์และสิทธิบัตร** – ลดลงตามระยะเวลา
- **เงินกู้** – ชำระคืนเป็นงวด
- **สิ่งอื่น ๆ ที่ไม่มีตัวตน** – เช่น ความยินดีต่อปัญญา (Goodwill) ที่ซื้อมาจากการควบรวมบริษัท
### ตัวอย่างค่าตัดจำหน่าย
**สินทรัพย์ไม่มีตัวตน:**
สิทธิบัตรสำหรับเครื่องจักร = 10,000 บาท อายุ 10 ปี
ค่าตัดจำหน่าย = 10,000 ÷ 10 = **1,000 บาทต่อปี**
**เงินกู้:**
เงินกู้ 10,000 บาท ชำระคืนปีละ 2,000 บาท
ค่าตัดจำหน่าย = **2,000 บาทต่อปี**
### ประเภทค่าตัดจำหน่าย
**ค่าตัดจำหน่ายเงินกู้** – เมื่อคุณชำระเงินกู้ (เช่น สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ) การชำระแต่ละครั้งจะแบ่งออกเป็นสองส่วน:
- ส่วนหนึ่งไปเป็นดอกเบี้ย
- ส่วนที่เหลือลดยอดเงินกู้ (Principal)
ตอนเริ่มต้น คุณจ่ายดอกเบี้ยมากกว่า ยิ่งเข้าไปยัง ยิ่งจ่ายดอกเบี้ยน้อย เงินต้นเพิ่มขึ้น
**ค่าตัดจำหน่ายสินทรัพย์ไม่มีตัวตน** – ใช้วิธีเส้นตรง กระจายต้นทุนสินทรัพย์ไม่มีตัวตน (เช่น ลิขสิทธิ์) ออกไปตามอายุการใช้งาน
## เปรียบเทียบค่าเสื่อมราคา vs ค่าตัดจำหน่าย
| ด้าน | ค่าเสื่อมราคา | ค่าตัดจำหน่าย |
|-----|-----------|-----------|
| **นิยาม** | ลดมูลค่าสินทรัพย์จับต้องได้ | ลดมูลค่าสินทรัพย์ไม่มีตัวตน/เงินกู้ |
| **วิธีคำนวณ** | เส้นตรง หรือ วิธีเร่ง | ส่วนใหญ่เส้นตรง |
| **ใช้กับ** | อาคาร เครื่องจักร รถยนต์ | ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร เงินกู้ |
| **ระยะเวลา** | ตามอายุการใช้งานทางกายภาพ | ตามสัญญาหรือกำหนด |
## สรุป
**ค่าเสื่อมราคา** และ **ค่าตัดจำหน่าย** เป็นเครื่องมือบัญชีที่สำคัญ ช่วยให้:
1. **กระจายต้นทุน** – แทนที่จะบันทึกขาดทุนทั้งหมดในปีแรก
2. **ภาพรวมการเงินที่สมจริง** – สะท้อนคุณค่าจริงของสินทรัพย์
3. **วางแผนภาษี** – ใช้ค่าเสื่อมราคาเป็นหนึ่งในวิธีลดหย่อนภาษี
4. **เปรียบเทียบบริษัท** – เข้าใจความแตกต่างระหว่าง EBIT และ EBITDA
สำหรับนักลงทุน การเข้าใจวิธีคิดค่าเสื่อมราคา (วิธีไหนบริษัทใช้ และทำไม) จะช่วยให้วิเคราะห์งบการเงินได้ลึกขึ้นและตัดสินใจลงทุนได้ดีขึ้น