Memahami permintaan dan penawaran dengan mudah untuk menangkap peluang menghasilkan uang di pasar

ถ้าคุณเคยงงกับคำว่า “อุปสงค์ อุปทาน” แล้วคิดว่ามันซับซ้อน พอใจเถอะ เพราะในความเป็นจริง มันแค่การบ่งบอกว่า “คนอยากซื้อเท่าไหร่” และ “คนอยากขายเท่าไหร่” เท่านั้นเอง เมื่อเราเข้าใจจุดนี้แล้ว ทุกอย่างก็จะชัดเจนขึ้น รวมถึงการคาดการณ์ทิศทางราคาของสินทรัพย์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น เหรียญดิจิทัล หรือสินค้าในตลาด

เหตุใดอุปสงค์ อุปทาน จึงสำคัญต่อนักลงทุน

ราคาของสินทรัพย์ใดๆ ไม่ได้เกิดขึ้นมาเพื่อเจ้าหนึ่น เจ้าสองหรือมีมายากล มันเป็นผลมาจากสงครามระหว่างสองฝ่ายคือ ผู้ซื้อและผู้ขาย เมื่อผู้ซื้อหลั่งไหลเข้ามามากกว่าผู้ขาย ราคาก็จะพุ่งสูงขึ้น ในทางตรงกันข้าม เมื่อผู้ขายพยายามกำจัดสินค้า มากกว่าที่มีผู้ซื้อเข้ามารับ ราคาก็จะทรุดตัว นี่คือสาระสำคัญของ อุปสงค์ อุปทาน ที่นักลงทุนต้องพึ่งพาในการตัดสินใจ

ทำความรู้จักกับสองตัวจริงของตลาด

ด้านอุปสงค์ : เมื่อคนอยากซื้อ

ลองนึกถึงการประมูลรองเท้า Nike ของนักกีฬาที่มีชื่อเสียง ถ้ามีแต่คนสามคนที่สนใจ ราคาก็จะไม่สูง แต่ถ้ามีเหล้คนร้อยคนพร้อมเอากระเป๋าเงินมา ราคาจะพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว นั่นแหละคือ อุปสงค์ มันสะท้อนถึงความต้องการทีซื้อสินค้า ณ ราคาต่างๆ

แต่คนซื้อหลายคนมากเพราะอะไร ก็เพราะตัวช่วยต่างๆ เช่น

รายได้ที่มี : เมื่อคนมีเงินมากขึ้น (อาจจากโบนัส หรือกำไรจากการลงทุน) พวกเขามักจะยินดีจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อให้ได้สินค้าที่พวกเขาอยากได้

ความรู้สึก : ความเชื่อมั่นทางจิตใจว่า “อ่านหนังสือพยากรณ์ว่าเหรียญนี้จะขึ้นไป 10 เท่า” จะทำให้คนไม่อึกอัก จ่ายเงินมากมายแม้ว่าราคาจะสูง

ปัจจัยอื่นๆ : เช่น ฤดูกาล การลดราคาของสินค้าอื่นที่แข่งกัน หรือข่าวข่าวดีจากบริษัท

ด้านอุปทาน : เมื่อคนอยากขาย

ตรงข้ามกับการซื้อ เมื่อราคาสูงขึ้น ผู้ขายมักจะกลับมาเสนอสินค้าให้มากขึ้น เพราะใครจะไม่ยินดีที่ขายแพงได้ใจ ในบริษัท ถ้าต้นทุนการผลิต 50 แต่ขายได้ 200 แน่นอนว่าคณะผลิตจะมาเพิ่มกำลังการผลิต อุปทานเลยเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

แต่จำนวนสินค้าที่ถูกนำมาขายก็ได้รับอิทธิพลจาก

ต้นทุนการผลิต : ถ้านำเข้าวัตถุดิบแพง หรือค่าแรงสูงขึ้น ผู้ผลิตจะ “เบื่อ” ที่จะเพิ่มอุปทานแล้ว

เทคโนโลยี : เมื่อมีเครื่องจักรใหม่ สามารถผลิตเร็วขึ้นและราคาต่ำลง อุปทานก็จะพุ่งสูงขึ้น

จำนวนคู่แข่ง : ถ้ามีพ่อค้าใหม่เข้ามาขายสินค้าตัวเดียวกัน อุปทานก็จะหลั่งเข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้น

จุดดุลยภาพ : ที่ซื้อกับขายเสมอกัน

ไม่ได้ว่าสนใจแค่อุปสงค์ หรือแค่อุปทาน เพราะลำพังมันก็ไม่สามารถกำหนดราคาได้ ราคาจริงจะเกิดขึ้น ณ จุดที่การซื้อกับการขายพบกันและเสมอกัน เรียกมันว่า “ดุลยภาพ” หรือจุดที่ราคาไม่ไปไหน เพราะทั้งสองฝ่ายพอใจกับราคานั้นพอดี

ลองนึกถึงการต่อรองราคาในตลาดสดโบราณ ถ้าพ่อค้ามั่นใจต่อปลา 200 บาท แต่คุณแม่เสนอ 100 บาท ก็ยังมีช่องว่าง ดังนั้นพวกเขาจึงต่อรองกันไป มาจนกว่าตกลงกัน “150 บาท ตกลงดีไหม” เมื่อตกลงกันแล้ว นั่นคือจุดดุลยภาพ ที่ราคาสินค้าจะอยู่ที่นั่น

กฎของอุปสงค์ อุปทาน แบบง่ายๆ

กฎอุปสงค์ : “ราคาแพง → คนซื้อน้อย” “ราคาถูก → คนซื้อมาก” นี่คือความจริงที่ไม่มีใครแม้แต่เศรษฐศาสตร์ก็ยอมรับ

กฎอุปทาน : “ราคาแพง → พ่อค้าขายเยอะ” “ราคาถูก → พ่อค้าขายน้อย” เพราะเหตุผลชัดเจนคือ “กำไรมากจังนะ”

จากสองกฎนี้ เราจะเห็นว่าอุปสงค์และอุปทานจะเข้าประเวณีจริงเมื่อไป “สามารถทำให้ราคากลับสู่ดุลยภาพได้อย่างอัตโนมัติ” ในครั้งใด ที่ราคาออกไปจากดุลยภาพ

ยกตัวอย่าง ถ้าราคาสินทรัพย์ขยับขึ้นเกินความเป็นจริง ผู้ขายจะตื่นตัว “โอ้ว ราคาสูงจังเลย” ตัดสินใจลดราคาเพื่อขายเร็ว ขณะนั้น ผู้ซื้อเห็นราคาแพงก็หดหู่ลง “เอ้า ลดราคาสักหน่อยกว่าจะซื้อ” สองกลุ่มนี้จึงข้อมูลกันไปจนราคากลับมาปกติ

การนำอุปสงค์ อุปทาน มาใช้ในการวิเคราะห์หุ้น

1. มองจากมุมมองพื้นฐาน

เศรษฐศาสตร์ใจธรรมชาติ ที่นักลงทุนเข้าใจ นักลงทุนไม่ได้สนใจแค่ว่า “หุ้น Pantip จะแพงหรือถูก” แต่ขึ้นอยู่กับ “บริษัท Pantip จะทำกำไรได้เท่าไหร่ปีนี้” เมื่อการคาดการณ์ผลประกอบการดีขึ้น ทั้งหมดจึงกลับมาซื้อ ทำให้อุปสงค์ขึ้นแล้วราคาก็ตาม

ในทางตรงกันข้าม เมื่อมีข่าวว่าบริษัทจะมีปัญหา ผู้ถือหุ้นจึงตั้งใจขาย ราคาหุ้นก็จะถูกลง

2. มองจากด้านเทคนิค

อุปสงค์ อุปทาน ถูกนำไปใช้วิเคราะห์ผ่านการสังเกตุปัจจัยทั้ง “ราคา” และ “ปริมาณ” การเทรดที่ละเอียดเฉียบคม

Price Action : ดูแท่งเทียน

  • แท่งเทียนสีเขียว (ปิดสูงกว่าเปิด) = ผู้ซื้อชนะ = อุปสงค์แข็ง
  • แท่งเทียนสีแดง (ปิดต่ำกว่าเปิด) = ผู้ขายชนะ = อุปทานแข็ง
  • แท่งเทียน Doji (เปิดปิดเดียวกัน) = ทั้งสองฝ่ายเสมอ = ยังตัดสินไม่ได้

Trend Analysis : ดูทิศทางราคาโดยรวม

  • ราคาทำจุดสูงใหม่เรื่อยๆ = อุปสงค์นำเสนอกำลัง
  • ราคาทำจุดต่ำใหม่เรื่อยๆ = อุปทานขึ้นม่าน
  • ราคาเคลื่อนในกรอบ = ทั้งสองฝ่ายเสมอกัน

Support & Resistance : ดูจุดต่อสู้

  • เส้นรับ (Support) = ที่หยุดการปรับลง = ที่มีแรงซื้อ
  • เส้นต้าน (Resistance) = ที่หยุดการปรับขึ้น = ที่มีแรงขาย

เทคนิค Demand Supply Zone : ตัวจริงของการจับจังหวะ

เมื่อราคาเคลื่อนไหว มันไม่ได้ขึ้นลงแบบเรียบร้อย บางครั้งก็มีภาวะ “ความไม่สมดุล” คือ ฝ่ายหนึ่งชนะขาด ทำให้ราคาวิ่งเร็วมาก (ขึ้นแบบหลัง-หรือลงแบบตกใจ) แล้วพอค่อยๆ “ถึงการคืนตัว” ฝ่ายอีกฝ่ายกลับเข้ามาต่อสู้ ราคาจึงแกว่งไปแกว่งมาในกรอบแคบๆ เพื่อหาดุลยภาพใหม่

เทคนิค Demand Supply Zone นั่นแหละ ที่ใช้ “จับมุม” การเปลี่ยนแปลงนี้ได้

การเทรดแบบ Reversal (กลับตัว)

DBR : Drop Base Rally (ลงแล้วขึ้นอีก)

  • อันดับแรก : ราคาดิ่งลงมากๆ (มีอุปทานเยอะ)
  • อันดับสอง : ราคาหยุด แล้วเริ่มแกว่ง ลดลง ค่อยๆ เรียนแรงซื้อเข้ามา
  • อันดับสาม : เมื่อแรงซื้อชนะ ราคาทะลุเส้นความต้านทานขึ้นไป

RBD : Rally Base Drop (ขึ้นแล้วลงอีก)

  • อันดับแรก : ราคาวิ่งขึ้นมากๆ (มีอุปสงค์เยอะ)
  • อันดับสอง : ราคาหยุด แล้วเริ่มแกว่ง ลดลง เรียนแรงขายเข้ามา
  • อันดับสาม : เมื่อแรงขายชนะ ราคาทะลุเส้นรับลงไป

การเทรดแบบ Continuation (ต่อเนื่อง)

RBR : Rally Base Rally (ขึ้นแล้วขึ้นอีก)

  • ราคาขึ้น → พักตัว → ขึ้นต่อ
  • นั่นคือแรงซื้อยังแข็ง เพิ่งหยุดพัก

DBD : Drop Base Drop (ลงแล้วลงอีก)

  • ราคาลง → พักตัว → ลงต่อ
  • นั่นคือแรงขายยังแข็ง เพิ่งหยุดพัก

ปัจจัยที่ควบคุมอุปสงค์ อุปทาน ในตลาดการเงิน

อุปสงค์ได้รับผลกระทบจาก :

  • ความมั่นใจทางเศรษฐกิจ : เมื่อเศรษฐกิจดี คนมีเงินซื้อสินทรัพย์
  • อัตราดอกเบี้ย : ดอกเบี้ยต่ำ → มีเงินว่างมา → ซื้อหุ้น
  • ของสภาพคล่อง : เงินในระบบเยอะ → ลงทุนเพิ่ม
  • ข่าวดี : บริษัททำกำไรสูง → คนอยากซื้อหุ้น

อุปทานได้รับผลกระทบจาก :

  • นโยบายบริษัท : ซื้อหุ้นคืน → อุปทานลด / เพิ่มทุน → อุปทานเพิ่ม
  • บริษัทใหม่เข้าตลาด : IPO ใหม่ → อุปทานของหลักทรัพย์เพิ่ม
  • กฎระเบียบ : ห้ามขายหุ้น (Silent Period) → อุปทานลด
  • ต้นทุนการผลิต : ค่าแรงแพง → เลิกเพิ่มผลิต

เคล็ดลับการใช้อุปสงค์ อุปทาน ในชีวิตจริง

ทุกครั้งที่คุณเห็นราคาหุ้นขยับ ให้ถามตัวเอง :

  • “มีคนซื้อหรือขายมากกว่ากัน ?”
  • “ถ้าคนซื้อมากกว่า แรงซื้อจะยั่งยืนกี่วันอีก ?”
  • “เมื่อไหร่แรงซื้อหมดลง ราคาจะกลับตัว ?”

เมื่อคุณคิดเหล่านี้ได้ คุณก็ได้มีความเข้าใจ อุปสงค์ อุปทาน ในตัวแบบง่ายๆ แล้ว ที่เหลือคือการฝึกฝน สังเกตุราคาจริง และรอจนกว่าจะเจอช่วงเวลาที่สินค้า ค่อนข้างชัดเจนคำว่า “คนซื้อมากกว่า” หรือ “คนขายมากกว่า” นี่คือวิธีที่นักเทรดมืออาชีพใช้ในการปล่อยตัวให้ได้ เงินจำนวนมากจากตลาด

สรุป

อุปสงค์ อุปทาน คือ พื้นฐาน “ซ้ำๆ” ของการกำหนดราคา มันเป็นการเต้นรำระหว่างผู้ซื้อ และผู้ขาย ในทุกนาที ทุกวินาที ในตลาด การเข้าใจมันแบบง่ายๆ ก็เพียงพอ ที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจลงทุนได้ดีขึ้น การฝึกฝนอย่างต่อเนื่องจากการมองราคาจริงนั้น จะทำให้ความเข้าใจของคุณลึกซึ้งขึ้น จนกว่าคุณจะกลายเป็นคนที่ “อ่านราคา” ได้แบบเหมือนกับอ่านหนังสือ

Lihat Asli
Halaman ini mungkin berisi konten pihak ketiga, yang disediakan untuk tujuan informasi saja (bukan pernyataan/jaminan) dan tidak boleh dianggap sebagai dukungan terhadap pandangannya oleh Gate, atau sebagai nasihat keuangan atau profesional. Lihat Penafian untuk detailnya.
  • Hadiah
  • Komentar
  • Posting ulang
  • Bagikan
Komentar
0/400
Tidak ada komentar
  • Sematkan

Perdagangkan Kripto Di Mana Saja Kapan Saja
qrCode
Pindai untuk mengunduh aplikasi Gate
Komunitas
Bahasa Indonesia
  • 简体中文
  • English
  • Tiếng Việt
  • 繁體中文
  • Español
  • Русский
  • Français (Afrique)
  • Português (Portugal)
  • Bahasa Indonesia
  • 日本語
  • بالعربية
  • Українська
  • Português (Brasil)