Halaman ini mungkin berisi konten pihak ketiga, yang disediakan untuk tujuan informasi saja (bukan pernyataan/jaminan) dan tidak boleh dianggap sebagai dukungan terhadap pandangannya oleh Gate, atau sebagai nasihat keuangan atau profesional. Lihat Penafian untuk detailnya.
Inflasi meningkat: Apa yang harus diketahui investor dan cara menyesuaikan diri secara tepat
บทความนี้จะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับเงินเฟ้อ และความแตกต่างกับเงินฝืด พร้อมกับกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมในสถานการณ์ดังกล่าว
เงินเฟ้อคืออะไรกันแน่?
เงินเฟ้อ คือภาวะเศรษฐกิจที่อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น กล่าวคือ ระดับราคาสินค้าและบริการมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อมองจากมุมมองของมูลค่าเงิน เงินเฟ้อก็คือภาวะที่ค่าเงินลดลง ทำให้เวลาซื้อสินค้าชิ้นเดิมต้องใช้เงินมากกว่าเดิม
ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงของอัตราเงินเฟ้อในชีวิตประจำวัน
นายสมศรีครั้งหนึ่งมีเงิน 50 บาท สามารถซื้อข้าวได้หลายจานจนเต็มใจ แต่ปัจจุบันเงินนั้นซื้อข้าวได้เพียงจานเดียวเท่านั้น เมื่อจินตนาการไปถึงอีกหลายสิบปีข้างหน้า ราคาข้าวจนต้องปรับเพิ่มเป็นจานละ 100 บาทแน่นอน นี่คือผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อต่อกำลังซื้อของประชาชน
ภาวะเงินเฟ้อนี้ไม่เพียงเป็นตัวชี้วัดในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนใช้ตัดสินใจเลือกสินทรัพย์ในตลาดหุ้น เพราะการคาดการณ์การขึ้นขึ้นหรือลงของอัตราเงินเฟ้อจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพของตลาดหุ้น
ใครที่ได้ประโยชน์และใครเสียเปรียบจากภาวะเงินเฟ้อ?
กลุ่มที่ได้ประโยชน์
ผู้ประกอบการส่วนตัว พ่อค้า และผู้มีรายได้เป็นตัวเงินที่ยืดหยุ่นได้ เนื่องจากสามารถปรับเพิ่มราคาสินค้าและบริการได้ตามสถานการณ์ อีกทั้งผู้ถือหุ้น ผู้ค้นหาทองคำ และสถาบันการเงิน ล้วนมีโอกาสสร้างกำไรจากภาวะนี้
กลุ่มที่ประสบความเสียหาย
พนักงานรับเงินเดือนประจำเป็นกลุ่มที่เสี่ยงมากที่สุด แม้เงินเดือนจะเพิ่มขึ้น แต่อัตราการเพิ่มมักต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อ ส่งผลให้อำนาจซื้อจริงของเงินเดือนลดลง นอกจากนี้เจ้าหนี้ยังเสียเปรียบเพราะค่าเงินที่ได้มาลดต่ำลง
สาเหตุหลักของการปรับสูงขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ
สามสาเหตุพื้นฐาน
1. ความต้องการมากกว่าอุปทาน (Demand Pull Inflation) ผู้บริโภคมีความต้องการซื้อสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น แต่ปริมาณสินค้าในตลาดไม่เพียงพอ จึงทำให้ผู้ขายมีอิสระในการปรับเพิ่มราคา
2. ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น (Cost Push Inflation) ผู้ผลิตต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้นจากสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก เช่น ก๊าซธรรมชาติ น้ำมันดิบ ถ่านหิน เหล็ก และทองแดง เมื่อต้นทุนสูงขึ้น ผู้ผลิตต้องปรับเพิ่มราคาสินค้าตามไปด้วย
3. การเพิ่มปริมาณเงินในระบบ (Printing Money Inflation) เมื่อรัฐบาลพิมพ์เงินเพิ่มจำนวนมาก จึงสร้างให้เกิดอัตราเงินเฟ้อที่รุนแรง
สาเหตุที่ลึกกว่าในช่วงปัจจุบัน
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกหลังวิกฤติโควิด 19 ส่งผลให้ผู้บริโภคเพิ่มการใช้จ่ายมหาศาล (revenge spending) ในขณะที่อุปทานยังคงตั้งตัวอยู่ ปัญหาข้อจำกัดในห่วงโซ่อุปทาน (supply chain disruption) เช่น การขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และชิปเซมิคอนดักเตอร์ ยิ่งทำให้ต้นทุนการผลิตพุ่งสูงขึ้น
นอกจากนี้ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครน ยังส่งผลให้ราคาพลังงานทั่วโลกปรับสูงขึ้นแบบไม่ลดลง
ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน: Stagflation กำลังใกล้เข้ามา?
สัญญาณเศรษฐกิจบ่งชี้ว่าโลกกำลังเข้าใกล้ภาวะ Stagflation (ภาวะที่มีเงินเฟ้อสูงแต่เศรษฐกิจซบเซา) ตามข้อมูล IMF ตั้งแต่มกราคม 2567:
หากประเทศไทยเข้าสู่ภาวะ Stagflation อำนาจซื้อของประชาชนจะลดลง ผู้ประกอบการขายสินค้าไม่ได้ จึงต้องปลดพนักงาน ส่งผลให้อัตราการว่างงานสูงขึ้นและ GDP เติบโตช้า นี่คือสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ไม่มีใครอยากให้เกิด อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังไม่เข้าสู่ระยะนี้เต็มที่ แต่จำเป็นต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
อัตราเงินเฟ้อวัดได้อย่างไร?
ทุกเดือน กระทรวงพาณิชย์จะเก็บข้อมูลราคา 430 รายการและคำนวณเป็นดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index: CPI) การเพิ่มขึ้นของ CPI เมื่อเทียบกับปีก่อนคืออัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ธนาคารแห่งประเทศไทยใช้เป็นเป้าหมาย
สถิติล่าสุด (มกราคม 2567)
ดัชนีราคาผู้บริโภค = 110.3 (เพิ่มขึ้น 0.3% จากเดือนเดียวกันปีก่อน)
การลดลงของอัตราเงินเฟ้อเป็นผลมาจากมาตรการลดค่าพลังงานของภาครัฐ และการเพิ่มปริมาณผลผลิตของพืชผลสดใจ
ประวัติศาสตร์เงินเฟ้อของไทย
ย้อนดูประวัติศาสตร์ให้เห็นภาพของความผันผวนครั้งครั้ง:
ตัวอย่างบริษัทที่ได้ประโยชน์
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในครึ่งปีแรก 2565 มีรายได้ 1,685,419 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 64,419 ล้านบาท เติบโต 12.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นจากภาวะเงินเฟ้อ
เงินฝืด vs เงินเฟ้อ: ต่างกันอย่างไร?
เงินเฟ้อ เกิดขึ้นเมื่อราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มูลค่าเงินลดลง ส่วนใหญ่ส่งผลดีต่อผู้ประกอบการและผู้ถือหุ้น
เงินฝืด ตรงกันข้าม เกิดขึ้นเมื่อราคาสินค้าและบริการลดลงอย่างต่อเนื่อง เศรษฐกิจหยุดนิ่ง ผู้ผลิตจำหน่ายน้อย เศรษฐกิจซบเซา
ผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อต่อประชาชน เศรษฐกิจ และชีวิตประจำวัน
ผลกระทบต่อประชาชนทั่วไป
ค่าครองชีพเพิ่มขึ้น ทำให้อำนาจซื้อลดลง ประชาชนซื้อสินค้าและบริการได้น้อยลง บัญชีรายจ่ายประจำวันเพิ่มมากขึ้น
ผลกระทบต่อผู้ประกอบการ
ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น แต่ยอดขายอาจลดลงเพราะผู้บริโภคซื้อน้อยลง ผู้ประกอบการบางรายต้องปลดพนักงาน ชะลอการลงทุน
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศ
ผู้บริโภคซื้อของน้อยลง ธุรกิจขายไม่ได้ การลงทุนในสินค้าผลิตได้ชะลอตัว ศักยภาพการผลิตในระยะยาวลดลง อัตราเงินเฟ้อที่สูงส่งผลให้ประชาชนเก็งกำไรในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เสี่ยงต่อฟองสบู่และสินทรัพย์อื่น ๆ
ผลกระทบต่อค่าครองชีพประจำวัน
สินค้าเบื้องต้นเช่น เนื้อสัตว์ น้ำมัน ผัก แพงขึ้น บัญชีรายจ่ายเพิ่มเติม
ตารางเปรียบเทียบราคาสินค้าจำเป็นตามปี
ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่าภาวะเงินเฟ้อส่งผลให้ราคาสินค้าจำเป็นเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น บัญชีค่าครองชีพเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
กลยุทธ์การปรับตัวและการลงทุนเมื่ออัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น
1. วางแผนการลงทุนอย่างแข็งขัน
ในสถานการณ์เงินเฟ้อ ดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ในระดับต่ำ การนำเงินมาลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เช่น หุ้น กองทุนรวม อสังหาริมทรัพย์ จึงเป็นทางเลือกที่สมควร
2. หลีกเลี่ยงหนี้เสีย
หลีกเลี่ยงการกู้ยืมสำหรับสินค้าที่ไม่จำเป็น ควรวางแผนการใช้จ่ายรัดกุมและประหยัด ไม่ซื้อของที่ไม่จำเป็น
3. ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความมั่นคง
ทองคำเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะมีมูลค่าในตัวเอง ไม่เสื่อมสภาพ มักเพิ่มมูลค่าตามการปรับสูงขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ
4. ติดตามข่าวสารเศรษฐกิจ
เงินเฟ้อส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินและการดำรงชีพ จำเป็นต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์
ตัวเลือกการลงทุนในช่วงเงินเฟ้อ
ฝากเงินดอกเบี้ยสูง
บัญชีฝากประจำแบบเงินฝากประจำ โดยฝากเข้าทุกเดือนครบตามระยะเวลาที่ธนาคารกำหนด (12 เดือน หรือ 36 เดือน) ได้ดอกเบี้ยที่สูงกว่าฝากทั่วไป
กองทุนอสังหาริมทรัพย์
อัตราค่าเช่าเป็นไปตามอัตราเงินเฟ้อ ผลตอบแทนจากการเช่าและราคาทรัพย์เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนต้องศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด เพราะมีความเสี่ยง
ตราสารหนี้แบบปล่อยอัตรา (Floating Rate Bond) และตราสารเชื่อมอัตราเงินเฟ้อ
เลือกตราสารหนี้ที่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยตามสถานการณ์เงินเฟ้อ และเลือกตราสารที่มีความน่าเชื่อถือ
ทองคำ
ทองคำเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับอัตราเงินเฟ้อ มีความมั่นคงและโอกาสเก็งกำไรในระยะยาว เนื่องจากเมื่ออัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น ราคาทองคำก็สูงขึ้นด้วย การเทรด CFD สำหรับทองคำเป็นวิธียอดนิยม เนื่องจากสามารถเก็งกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง
หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากเงินเฟ้อ
หุ้นธนาคาร
ธนาคารได้กำไรจากส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ เมื่อดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น กำไรของธนาคารเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
หุ้นกลุ่มประกัน
บริษัทประกันลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ มีอัตราผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ
หุ้นกลุ่มอาหาร
สินค้าอาหารเป็นความจำเป็น ผู้ผลิตมีอำนาจในการปรับราคา เนื่องจากความต้องการไม่ลดลง
สรุป
เงินเฟ้อ และอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเป็นปรากฏการณ์ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจและชีวิตประจำวันของประชาชน ในระดับที่พอเหมาะ เงินเฟ้ออาจช่วยให้เศรษฐกิจขยายและเติบโต แต่ถ้าสูงเกินไป (Hyper Inflation) จะกลายเป็นภัยต่อชีวิตการทำงาน
นักลงทุนสามารถสร้างกำไรจากภาวะเงินเฟ้อโดยการลงทุนในสินทรัพย์ที่เหมาะสม เช่น หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์ ทองคำ หรือตราสารหนี้แบบปล่อยอัตรา ความสำคัญคือการติดตามข่าวสารเศรษฐกิจอย่างสม่ำเสมอ เพื่อไม่พลาดการปรับตัวอย่างเหมาะสม